My Money Toolkit | เครื่องมือการเงินของฉันวงแหวนเว็บ

ประกันสุขภาพแบบ Co-payment คืออะไร เราควรตกใจไหม

18/02/2025 - views
Share :

สามารถเข้าถึงเครื่องมือดีๆ ก่อนใครเพียงสมัครสมาชิกที่ Ko-fi

Sheet บันทึกจ่ายปันผล

Sheet บันทึกจ่ายปันผล

🥇 Gold🥈 Silver

✅ เปิดให้สมาชิกดูก่อนใคร

Sheet ETF/Inverse ETF

Sheet ETF/Inverse ETF

🥇 Gold🥈 Silver

✅ เปิดให้สมาชิกดูก่อนใคร

แก้สูตร yahooF

แก้สูตร yahooF

☕ All Supporter

✅ ดึงข้อมูลหุ้นอัตโนมัติ

Member 1 Avatar
Member 2 Avatar
Member 3 Avatar
9 Members

คิดว่าหลายคนคงเคยได้ยินและผ่านตากันมาบ้างกับประกันสุขภาพแบบ Co-payment

วันนี้เราจะมาสรุปคร่าวๆ ตามความเข้าใจจากประกาศ การศึกษา และการสอบถามจากตัวแทนประกันที่เรารู้จัก แน่นอนว่าเราไม่ใช่ตัวแทนประกัน มีประสบการณ์การใช้งานอยู่บ้าง แต่ก็พอจะมีความรู้อยู่บ้างเลยอยากจะมาแชร์กัน

ประกันสุขภาพคืออะไร

ประกันสุขภาพคือการที่เราเอาความเสี่ยงด้านสุขภาพเรามาให้คนอื่นช่วยออก แลกกับเบี้ยที่เราจ่ายทั้งปี ซึ่งจริงๆ แล้ว หากมองในแง่คนที่ไม่ป่วยก็อาจจะต้องจ่ายฟรีไป แต่ไม่ป่วยย่อมดีกว่าป่วยอยู่แล้ว คิดแบบนี้ย่อมดีกว่า คงไม่มีใครอยากเป็นโรค ป่วย ไม่สบายกายและใจ

และถ้ามองในแง่เราไม่ป่วยมาหลายปี พึ่งมาป่วยโดนค่ารักษาหนักๆ ในทีเดียว หากเรามีประกันก็จะช่วยแบ่งเบาภาระตรงนี้ได้ (แต่ถ้าหนักๆ ปีต่อๆ ไปประกันอาจจะไม่รับเคลมหรือเพิ่มเบี้ยได้เหมือนกัน แล้วแต่กรณี แงง)

หากใครมีสวัสดิการก็จะดีหน่อยแล้วแต่บริษัท ก็จะช่วยได้เยอะ เราอาจจะหาประกันที่ครอบคลุมส่วนต่างแทน แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมี และได้รับความสะดวกสบาย ความรวดเร็ว ถ้าอยากรักษาที่ดีๆ ก็ต้องใช้เงิน ประกันสุขภาพจึงถือเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ดีที่เราควรมีติดตัวไว้อยู่ดี

Co-payment คืออะไร

นิยามสั้นๆ ของมันคือการที่เราต้องจ่ายร่วมกับประกันตามเงื่อนไขที่เราตกลงกันไว้ ซึ่งมีแบบตั้งแต่แรก และแบบที่ตกลงกันตอนต่ออายุ(บอกล่วงหน้า 15 วัน) ซึ่งแบบที่ต่ออายุที่เริ่มชัดเจนคือแบบที่จะมีผลบังคับใช้ 1 มีนาคม 2568 นี้แล้ว ซึ่งในทางหลักการเบี้ยควรจะถูกกว่าเดิม (จะถูกลงไหมก็ต้องติดตาม)

ทำไมถึงต้องมี Co-payment

ตามที่ค้นมาอันเนื่องมาจากการที่ประกันเริ่มขาดทุน มีการเบิกที่เยอะเกินความจำเป็น (อ้างถึงช่วงโควิด) ทำให้ธุรกิจประกันตกอยู่ในความเสี่ยง จนมีบางบริษัทต้องปิดตัวไป ทั้งในส่วนของผู้ป่วยที่ขยันเบิกและนอน (ซึ่งแน่นอนว่าไม่ผิดตามเงื่อนไข) และโรงพยาบาลต่างๆ ที่เบิกค่าใช้จ่ายตามวงเงิน

ข้อเท็จจริงเหล่านี้จะจริงเท็จแค่ไหนก็แล้วแต่เพื่อนๆ จะพิจารณากัน เพราะทุกอย่างก็คือธุรกิจ และมันก็สะท้อนออกมาผ่านค่าเบี้ยที่แพงขึ้น ค่ารักษา เงินเฟ้อต่างๆ ที่ยิ่งทำให้การเข้าถึงการรักษายิ่งยากขึ้นในอนาคต

อยากให้มองภาพระยะยาวด้วย ถึงคุณจะมีอยู่แล้วแต่พอยิ่งแก่ไป หลายปีเข้า ประกันที่มีอยู่วงเงินจะพอไหมหากป่วยขึ้นมาจริงๆ ซึ่งจะคิดหาเหตุผลยังไงก็แล้วแต่ แต่ยังไงมันก็จะมีผลบังคับใช้แล้ว

ใครที่อยากได้แบบเก่าก็คงต้องสมัครก่อน แต่ก็ควรดูเงื่อนไขให้ดีๆ ก่อนสมัคร มันก็ไม่ใช่ว่าที่สมัครตอนนี้จะดีหรือเหมาะกับเรามากที่สุด เราเชื่อว่าทุกคนมีเงื่อนไขไม่เหมือนกัน

เงื่อนไข Co-payment

นอนโรงพยาบาลหรือรักษาแบบ IPD โดยเข้ากรณีดังนี้:

  1. กรณีโรคไม่รุนแรง (Simple diseases) (อาการที่ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล)

    • เคลมมากกว่าหรือเท่ากับ 3 ครั้งต่อปี และยอดรวมเกินกว่าเบี้ย 2 เท่า
    • ปีหน้าจ่ายร่วม 30%
  2. เจ็บป่วยโรคทั่วไป (ไม่ใช่โรคร้ายแรง และผ่าตัดใหญ่)

    • เคลมมากกว่าหรือเท่ากับ 3 ครั้งต่อปี และยอดรวมเกินกว่าเบี้ย 4 เท่า
    • ปีหน้าจ่ายร่วม 30%
  3. หากเข้า 2 เงื่อนไขข้างต้น ปีหน้าจ่ายร่วม 50%

ข้อควรทราบเพิ่มเติม:

เคสตัวอย่างแบบชาวบ้าน

สมมติค่าเบี้ย 20,000 บาท

ในกรณีที่ไม่ได้ตั้งใจจะเข้าโรงพยาบาลบ่อย แต่ป่วยจริง คือปีแรกเข้าเงื่อนไข เข้าโรงพยาบาลนอนมากกว่า 3 ครั้ง ด้วยโรคเจ็บทั่วไป ถ้าสมมตินอนครั้งละ 7,000 บาท +- ค่าอื่นๆ คงประมาณ 10,000 บาท นอน 3-4 คืนอาจจะเกิน 2 เท่าของเบี้ย แล้วแต่โรงพยาบาลที่เราเข้า

แสดงว่าเข้าโรงพยาบาล 2 ครั้ง มีโอกาสเข้าเงื่อนไข 4 เท่าของเบี้ยแล้ว แต่เราต้องรอเข้ารอบที่ 3 ก่อนถึงจะครบเงื่อนไขสมบูรณ์ที่ต้องจ่าย co-payment ในปีหน้า

ซึ่งถ้าเกิดป่วยหนักแบบ 3 รอบจริงๆ ปีนี้ ปีหน้าถ้ายังป่วยต่อหรือมาเจอที่หลังก็จะลำบากมากที่ต้องจ่ายร่วมถึง 30% เช่น ค่ารักษา 100,000 จ่าย 30,000

ข้อสังเกต:
อาจจะช่วยลดคนที่เข้าโรงพยาบาลแบบเกินความจำเป็นได้มากขึ้น เคสที่ป่วยจริงอาจจะได้มีเตียง แต่ถ้าเกิดไปโรงพยาบาลที่ตรวจหาไม่เจอ ต้องไปตรวจหลายโรค หรือเราป่วยบ่อย ก็อาจจะทำให้เข้า co-payment ได้ง่ายๆ

Co-payment ที่ออกมามีประโยชน์อะไร

  1. ลดค่าใช้จ่ายของบริษัทประกัน - ใช่แล้ว นี่คือประโยชน์หลักๆ ข้อแรก ประกันจะขาดทุนน้อยลง หรือกำไรมากขึ้น
  2. เบี้ยประกันควรจะถูกลงจากเดิม มีอัตราการขึ้นค่าเบี้ยที่น้อยลง
  3. คนอาจจะดูแลสุขภาพมากขึ้น

เน้นย้ำว่าเข้าเงื่อนไขเฉพาะผู้ป่วยใน (นอนโรงพยาบาล) เท่านั้น

ประสบการณ์การใช้งาน

เรามีประกันสุขภาพ (แบบเก่า) โดยสมัครไปด้วยความคิดว่าไม่อยากใช้เหมือนกัน ค่าเบี้ยต่างๆ ทั้งประกันชีวิตและสุขภาพอยู่ในช่วง 5-10% ของรายได้ ตามคำแนะนำของโค้ชหนุ่ม

เราสมัครมีทั้ง IPD และ OPD ด้วย ไม่มีตัวแทน (อนาคตอาจจะสมัครแบบมีตัวแทน เพราะเวลาสงสัยต้องโทรรอสายนานมากกว่าจะได้ข้อมูลต่างๆ เวลาเกิดเรื่องจริงๆ ก็รอไป) ค่าเบี้ยจ่ายอยู่หมื่นกว่าบาทต่อปี

เคยเคลมส่องกล้องโรคกระเพาะไป 30,000 บาท ซึ่งจะเข้าเงื่อนไข IPD ได้แม้ไม่ได้นอน ซึ่งก็กว่า 3 เท่าของเบี้ยแล้ว ถ้าไม่ซวยเข้าจนมากเกินไป รักษาโรคธรรมดาไม่เข้าโรงพยาบาลนอนหลายรอบก็คงโอเคอยู่ ถ้าเกิดต้องสมัครแบบใหม่หลังวันที่ 1 มีนาคม

หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์กับเพื่อน ผู้ติดตามทุกคน

ใครที่ตามหาประกัน ที่ปรึกษา เรามีแนะนำดังนี้

AIA
เคล็ดลับประกัน
Krugthai
Milk พันธิตรา
บอกเขาว่ามาจาก my money toolkit

อ้างอิงที่น่าสนใจ

ประกันสุขภาพ Co-Payment ผู้ร้ายหรือพระเอก
ทำความเข้าใจ Co payment เงื่อนไขกรมธรรม์ประกันสุขภาพใหม่ ผู้ป่วยต้องร่วมจ่ายอย่างไรบ้าง? by thairath

ฝากหน่อย โค้งสุดท้ายแล้วใครยังช้อปประหยัดภาษีไม่ครบ! ใครหาร้าน OTOP ไปดูกันได้
https://plantung.mymoneytoolkit.app/easy2025

ร่วมแบ่งปันเครื่องมือดีๆ
Share :
Image

การลงทุน

หนังสือการลงทุนที่น่าสนใจ
หมวดอื่น
The Intelligent Investor

The Intelligent Investor

คัมภีร์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า

ซื้อเลย
The Millionaire's Top Secret

The Millionaire's Top Secret

ความลับสู่เงินล้านที่โรงเรียนไม่เคยสอน

ซื้อเลย
The Money Formula

The Money Formula

สมการแสนล้าน พลิกกระดานวอลสตรีท

ซื้อเลย
☕️
👏
❤️
💸
🎉
❤️
👏
4Star
ทีม merefine
my babe 💖
Fun manger
ขอบคุณผู้สนับสนุนจากใจ

คุณคือผู้ทำให้เราได้ทำต่อไป 💖

ผู้สนับสนุนเดือนนี้ 9 ท่าน

สมาชิก 🥇+1 🥈+6

Buy Me a Coffee at ko-fi.com
Floating Image